วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กระทิงประหลาด มีเขาเดียวโผล่กลางหัว ยังกะยูนิคอร์น !

ภาพจาก pikabu

           พบกับเจ้า ไดมอนด์ กระทิงประหลาดที่บราซิล มีเขาเดียวโผล่อยู่กลางหัว อย่างกับยูนิคอร์น

          หลาย คนคงพอรู้จักสัตว์ในเทพนิยายที่มีเขาเดียวโผล่อยู่กลางหัว อย่างเจ้าม้ายูนิคอร์นมาบ้าง แต่รู้ไม่ลักษณะแบบนี้ไม่ได้มีอยู่แต่ในเทพนิยายเท่านั้น วันที่ 1 ธันวาคม 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล เผย ภาพเจ้า "ไดมอนด์" กระทิงจากบราซิลที่ผิดแผกจากเพื่อนฝูงตัวอื่น ๆ คือในขณะที่กระทิงทั่วไปมีเขา 2 เขา งอกออกมาจากด้านข้างของหัว เจ้าไดมอนด์แนวยิ่งกว่าแนว มันมีเขาเดียวโผล่ขึ้นมาที่กลางหัว และเป็นลักษณะประหลาดที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

ภาพจาก firsttoknow

         แม้ความผิดปกติเช่นนี้จะพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็เคยมีรายงานการพบสัตว์เขาเดียวมาแล้วประปราย ทั้งในสัตว์บกและสัตว์น้ำ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2557 ก็มีรายงานนักตกปลาชาวออสเตรเลีย 2 ราย จับได้ปลาทูน่ามีเขา กลายเป็นที่ฮือฮา จนชาวเน็ตตั้งชื่อเรียกว่าตัวดังกล่าวว่า "ทูนิคอร์น" 



          นอกจากนี้ ก็พบว่ามนุษย์มีความพยายามสร้างสัตว์เขาเดียวแบบยูนิคอร์นขึ้นมา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดอกเตอร์ดับบลิว แฟรงคลิน โดฟ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยเมน ในสหรัฐอเมริกา ทุ่มเทเวลานานหลายปีในการสร้าสัตว์เขาเดียวขึ้นมา หนึ่งในสัตว์เขาเดียวจากการวิจัยทดลองก็มี วัวกระทิงเขาเดียวรวมอยู่ด้วย แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 ปีเท่านั้น



http://hilight.kapook.com/view/129902

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจ๋งอะ ! ชมวิธีเปิดกระป๋องโดยไม่ใช้ที่เปิด ขอแค่มันสมองและสองมือ



            สองหนุ่มรัสเซีย สาธิตวิธีการเปิดกระป๋องโดยไม่ใช้ที่เปิดกระป๋อง ขอแค่แรงหนัก ๆ สองมือ และก้อนคอนกรีต  แล้วการเปิดกระป๋อง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

            เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า 2 หนุ่มชาวรัสเซียจากยูทูบที่ใช้ชื่อว่า Crazy Russian Hacker ได้สาธิตวิธีการเปิดกระป๋องโดยไม่ใช่ที่เปิดกระป๋อง ใช้แค่สองมือและหินคอนกรีตเท่านั้น ทำให้คลิปนี้ แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นคลิปไวรัลของชั่วโมงนี้เลยทีเดียว


              นายคูลารอฟ ได้สาธิตวิธีการเปิดกระป๋องโดยใช้แค่สองมือ โดยที่เขาบอกว่า "สมมติว่าในยุคซอมบี้นั้น ผมพยายามที่จะเอาชีวิตรอดและผมเจอกับกระป๋องทูน่า ผมหิวโซมากแต่ผมกลับไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ที่จะใช้เปิดกระป๋องเลย ผมมีแค่คอนกรีตที่หาได้ทั่วไปบนท้องถนน แล้วจะเปิดกระป๋องยังไงเหรอ ? ง่าย ๆ แค่นี้" จากนั้น นายคูลารอฟ ก็คว่ำกระป๋องทูน่า และถูกระป๋องไปมาเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้ง เมื่อฝากระป๋องเป็นรอยแล้ว ก็ให้หงายกระป๋องขึ้น บีบกระป๋อง แล้วฝากระป๋องจะหลุดออกมาเอง


                ทั้งนี้ คลิปดังกล่าว มีผู้เข้าชมกว่า 26 ล้านครั้ง และยังได้รับคำชมมากมาย ว่านี่เป็นวิธีการที่มีประโยชน์จริง ๆ



ภาพจาก Crazy Russian Hacker
http://hilight.kapook.com/view/129672

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อะไรจะขนาดนั้น ! ป้าขู่โดดตึก ยัวะสามีหลังทะเลาะเรื่องข้าวเที่ยง



         ป้าขู่โดดตึก ยัวะสามีหลังทะเลาะเรื่องข้าวเที่ยง เมื่อฝ่ายสามีอยากจะทานข้าว แต่คุณป้าอยากทานก๋วยเตี๋ยว

          กลาย มาเป็นเหตุที่ทำเอาใครต่อใครแตกตื่นตกใจกันไปตาม ๆ กัน เมื่ออยู่ดี ๆ หญิงสูงวัยรายหนึ่งก็ตัดสินใจปีนออกไปนอกหน้าต่างของอพาร์ทเม้นท์ ที่ตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ขู่ว่าจะกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ใครเลยจะคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เธอขู่จะโดดตึกนั้น มีสาเหตุมาจากเรื่องอาหาร


         โดยในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์เซี่ยงไฮ้อีสท์  ระบุว่า ผู้พบเห็นเหตุการณ์เปิดเผยถึงที่มาของเหตุระทึกครั้งนี้ ว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ฝ่ายสามีของคุณป้าอยากจะทานข้าวเป็นมื้อเที่ยง แต่คุณป้ากลับยืนกรานที่จะทานก๋วยเตี๋ยว ดังนั้นทั้งคู่จึงเริ่มโต้เถียงกัน ก่อนจะลุกลามกลายเป็นการทะเลาะกันใหญ่โต จากนั้นคุณป้าก็ปีนออกมาจากหน้าต่างห้องครัว ขู่ว่าจะกระโดดลงไปหากสามีของเธอไม่ยอมเป็นฝ่ายถอยให้

          หลังจากเห็นคุณป้ารายดังกล่าวออกไปนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ก็มีคนโทรเรียกพนักงานดับเพลิงเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงกว่าที่คุณป้าจะสงบอารมณ์และยอมปีนกลับเข้า มาในที่สุด อย่างไรก็ตามไม่มีรายงานระบุว่า สรุปแล้วสามี-ภรรยาคู่นี้ทานอะไรเป็นมื้อเที่ยงกันแน่

ภาพจาก shanghaiist.com

http://hilight.kapook.com/view/129446

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หน่วยพิเศษจู่โจมโรงแรมมาลี ตัวประกันถูกปล่อยมาแล้ว 80 ชีวิต


             ผู้ก่อการร้ายอาวุธ ครบมือไม่ทราบสังกัดบุกโรงแรมหรูในนครบาโก เมืองหลวงของประเทศมาลี จับพลเมือง 170 คนเป็นตัวประกัน มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 ศพ ล่าสุดตัวประกันโดนปล่อยแล้ว 80 ราย

https://www.youtube.com/watch?v=7ebg2iLYakQ

             วันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์เมโทร รายงานว่า กลุ่ม ผู้ก่อการร้ายพร้อมอาวุธปืนและระเบิดครบมือราว 10 นาย บุกยึดโรงแรมหรูในเมืองหลวงของประเทศมาลี มีตัวประกันราว 170 คน เป็นแขกต่างชาติ 140 คน และเป็นพนักงานโรงแรมอีก 30 คน 



             โรงแรม ที่ถูกบุกยึดมีชื่อว่า เรดิสสัน บลู โฮเต็ล เป็นโรงแรมหรูที่มักเต็มไปด้วยแขกชาวต่างชาติ ตั้งอยู่ในตัวเมืองของกรุงบามาโก เมืองหลวงของประเทศมาลี โดยแหล่งข่าวผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ได้ตะโกนเสียงดังกึกก้องว่า “อัลเลาะห์ อักบาร์” หรือ “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” ขณะบุกเข้ายึดโรงแรม



            ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังสังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ อาคารโรงแรม และมีการสกัดกั้นถนนบางสายที่เป็นเส้นทางไปสู่บ้านเรือนของประชาชน ทั้งนี้ทางตำรวจยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใดกันแน่


             ด้านผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เดินทางมายังโรงแรมด้วยรถสถานทูต ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเงียบ ๆ และเปิดฉากยิงกระหน่ำที่ชั้น 7

             ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศบางเจ้าก็เริ่มรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วอย่างน้อย 5 ราย ในขณะที่ทวิตเตอร์ทางการของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงบามาโก ได้โพสต์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนชาวอเมริกันให้ระวังตัวและพยายามอยู่ในที่ พักของตนเท่านั้น

             ขณะเดียวกัน เวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษได้เข้าจู่โจมโรงแรมดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้ตัวประกัน 80 ชีวิตถูกปล่อยตัวออกมา



              ทั้งนี้ ประเทศมาลี หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมาลี เป็นประเทศที่อยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นแถบที่ตั้งของฐานที่มั่นผู้ก่อการร้ายหลาย สังกัด ส่วนประเทศมาลีเองก็พบกับความไม่สงบโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่มีการรัฐประหารโดยกองทัพเมื่อปี 2555


http://hilight.kapook.com/view/129413

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ยลโฉม AS2 เครื่องบินเจ็ทเร็วเหนือเสียงลำใหม่ของโลก ดีไซน์เฉียบ-สวยแปลกตา



          แอร์บัสและเอเรียน สองบริษัทการบินยักษ์ใหญ่จับมือพัฒนาเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวความเร็วเหนือ เสียง AS2 ซึ่งเป็นเครื่องบินเจ็ทซูเปอร์โซนิคลำใหม่ของโลก มาพร้อมดีไซน์เพรียวบาง ดูแปลกแต่สวยงามจนยากจะละสายตา คาดพร้อมบินทดสอบในอีก 6 ปีข้างหน้า

          วันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยว่า แอร์บัส บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศส จับมือ เอเรียน บริษัทด้านอากาศยานของสหรัฐฯ วิจัยค้นคว้าและพัฒนาการผลิตเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวความเร็วเหนือเสียงลำแรก ของโลก ภายใต้ชื่อ Aerion AS2

          AS2 ถือเป็นเครื่องบินเจ็ทความเร็วเหนือเสียงลำใหม่ของโลก หลังจากที่เครื่องบินคองคอร์ดของสายการบินแอร์ฟรานซ์และบริติชแอร์เวย์ถูก ประกาศยกเลิกการใช้งานทุกลำในปี 2546 เนื่องจากมีผู้ใช้บริการน้อยและมีต้นทุนสูง ทั้งนี้เป็นผลกระทบมาจากความตกต่ำของอุตสาหกรรมการบินหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกา


         เครื่องบินเจ็ทความเร็วเหนือเสียงลำนี้ สามารถบินข้ามซีกโลกได้ด้วยความเร็วสูงสุดราว 1,960 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่เครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป สามารถบินได้ด้วยความเร็วสูงสุดราว 770 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


          หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ก็เท่ากับการเดินทางจากกรุงลอนดอนไปยังนครนิวยอร์กภายในเวลา 3 ชั่วโมง จากปกติที่ต้องใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง หรือการเดินทางจากนครลอสแอนเจลิสไปยังกรุงโตเกียวภายในเวลา 6 ชั่วโมง จากปกติที่ใช้เวลาราว 12 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางไกลข้ามทวีปได้เป็นอย่างดี


          ดีไซน์แปลกสะดุดตาที่มาพร้อมสีแดงสดและสีขาวตัดกัน ถูกออกแบบตามหลักพลศาสตร์การบิน ว่าด้วยการลดแรงเสียดทานของอากาศต่อพื้นที่หน้าตัดของวัตถุ โดยผู้ผลิตทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลกว่า 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.6 พันล้านบาท) ในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาการผลิต โดยคาดว่าเครื่อง AS2 ลำจริงจะพร้อมให้ยลโฉมภายในปี 2561 พร้อมทดสอบการบินในปี 2564 และพร้อมให้บริการจริงในปี 2566


          ภาย ในห้องโดยสารความยาว 30 ฟุตนั้นรองรับผู้โดยสารจำนวน 12 ที่นั่ง มีพื้นที่กว้างขวาง โอ่อ่า นั่งสบาย ดีไซน์หรูหราทันสมัย รวมถึงยังสามารถปรับเบาะเอนนอนได้สำหรับการบินช่วงกลางคืนด้วย








ภาพจาก Aerion Supersonic
http://hilight.kapook.com/view/129350


วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ฮือฮา !! ห้องสมุดวิศวะ จุฬาฯ น่านอนอย่างกับโรงแรมแคปซูล



         ชาวเน็ตแห่แชร์ ห้องสมุดใหม่ของคณะวิศวะจุฬาฯ อย่างเจ๋ง มีมุมให้พักผ่อนส่วนตัว-ติดโทรทัศน์ บอกเหมือนโรงแรมแคปซูล

          ต้องขอบอกเลยว่าภาพที่จะนำเสนอต่อไปนี้ต้องถูกอกถูกใจวัยเรียนแน่ ๆ เพราะเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 เฟซบุ๊ก Faculty of Engineering, Chulalongkorn University เฟซบุ๊กของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ เผยแพร่ภาพพิธีเปิดห้องสมุดใหม่แห่งใหม่ของคณะ ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นสมาร์ทไลบารี่ (Smart Library) มีการออกแบบเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้งาน แถมยังเป็นทั้งที่พักผ่อน พบปะสังสรรค์เพื่อเสริมสร้างความคิดอีกด้วยล่ะ


            และที่เรียกเสียงฮืฮฮาจากชาวเน็ตอย่างมาแรงแซงโค้งก็คือมุมพักผ่อนที่มีการจัดเป็นบล็อกเล็ก ๆ มีหมอนอิง และติดโทรทัศน์ ทำเอาชาวเน็ตกระหน่ำแชร์กันยกใหญ่ แถมยังบอกว่าคล้าย ๆ กันกับโรงแรมแคปซูลของญี่ปุ่นเลยนะเนี่ย






http://education.kapook.com/view134610.html

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจ้าหลุยส์ มะหมาดัชชุนขี้หึง กระโดดขวางกล้องไม่ให้เจ้านายถ่ายพรีเวดดิ้ง !



หมาขี้หึงอย่าง นี้ก็มีด้วย เห็นเจ้านายจะถ่ายรูปพรีเวดดิ้งเป็นไม่ได้มีกระโดดขวางหน้ากล้องตลอด จนเกิดเป็นภาพกายกรรมหมาสุดพิสดาร งานนี้ไม่รู้ว่าจะฮาน้ำตาเล็ดหรือสงสารเจ้าของดีนะเนี่ย

        เมื่อ คริส คลัธ และ เมแกน ดีเทอร์แมน คู่รักที่ต้องการถ่ายภาพสำหรับงานหมั้น โดยต้องการให้ เจ้าหลุยส์ สุนัขดัชชุนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยร่วมเฟรมด้วย ทางด้านช่างภาพจาก Dnk photography ก็ ยินยอมตอบรับขอเสนอที่ทั้งคู่ขอมาและจัดการทุกอย่างให้พร้อมสำหรับภาพคู่รัก แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเมื่อชัตเตอร์แรกได้ถูกกด !!!

        ไม่รู้ว่ากรณีนี้จะเรียกว่า หลุยส์ หึงเจ้านายหรืออยากเป็นดาวเด่นหน้ากล้องกันแน่ เพราะเมื่อขณะที่คู่รักอยู่ในตำแหน่งกับองค์ประกอบภาพอันสมบูรณ์แบบแล้ว วินาทีที่ช่างภาพกำลังจะกดชัตเตอร์ เจ้าหลุยส์ก็รีบพุ่งตัวยาว ๆ ของมันกระโดดขวางหน้ากล้องไว้ทันที บังทั้งคริสและเมแกนมิดเลย งานนี้ทำเอาช่างภาพและคู่รักฮาไปตาม ๆ กัน

        และ ไม่ว่าช่างภาพจะกดชัตเตอร์อีกกี่ชอต เจ้าหลุยส์ก็จะกระโดดขวางเฟรมตลอดทำให้เกิดเป็นชัตเตอร์ถ่ายติดภาพกายกรรม น้องหมาสุดพิสดาร มองแล้วก็สงสัยว่าทำไปทำไมหากไม่ใช่เพราะหึงหวงเจ้านายนั่นเอง ถ้าอยากรู้แล้วว่าแต่ละภาพนั่นจะเรียกรอยยิ้มได้ขนาดไหนกันต้องไปดูกันเลยดีกว่า


            หวัดดีฮะผมชื่อ หลุยส์ พันธุ์ดัชชุนสุดหล่อ ผมขอคัดค้านข้อกล่าวหาที่ว่าขี้หึงกระโดดขวางกล้องทุกครั้งที่เจ้านายจะถ่าย ภาพคู่ !!! ไหนหลักฐานครับ ???


               ก็แค่ตั้งท่าวิ่งไล่จับแมลงเองนะ ยังไม่ได้บังใครสักหน่อย !


                เอ่อตอนนั้นผมเมื่อยหลังนี่นา เลยลุกขึ้นมายืดแขนยืดขายืดหลังนิดเดียวเอง


                ชัดเลย ภาพนี้ชัดเลย ! ผมหวังดีช่วยโปรยใบไม้ให้ภาพดูโรแมนติกยิ่งขึ้นต่างหาก


                 อุ๊ย !!! เขินจังนี่ผมเผลอกระโดดขวางไปทั้งตัวเลยเหรอเนี่ย


                 หนักเลย ภาพนี้ขโมยซีนเต็ม ๆ ถ้าหลักฐานจะชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ผมไม่เถียงละกัน !!!


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Dnk photography

http://pet.kapook.com/view134169.html

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ย้อนดู 13 เหตุการณ์ชวนสะพรึง ที่เคยเกิดขึ้นในวันศุกร์ 13



         ย้อนดู 13 เหตุการณ์ในวันศุกร์ 13 กับเหตุแปลก ชวนสะพรึง รวมถึงเหตุฉาวโฉ่ในวันวาน ศุกร์ 13 เพียงเหตุบังเอิญหรืออาถรรพ์ ?

          ศุกร์ 13 กลายมาเป็นตำนานอาถรรพ์ที่สร้างความหวาดผวาไปทั่วโลก ด้วยเชื่อว่าวันดังกล่าวเป็นวันแห่งความโชคร้ายที่ไม่ว่าจะลงมือทำการใดก็ มักจะไม่สำเร็จผล ในขณะที่ใครหลายคนมองว่าความเชื่อเรื่อง อาถรรพ์ ศุกร์ 13 นั้น เป็นเพียงเรื่องงมงายเท่านั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในวันดังกล่าวมักจะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ่อย ครั้ง รวมถึงโศกนาฏกรรม และเหตุการณ์ระดับโลก ซึ่งจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือเป็นเพราะ "อาถรรพ์ ศุกร์ 13" ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าฟันธงเสมอไป ดังเช่นเหตุการณ์ประหลาดในวันศุกร์ 13 ที่เราจะยกตัวอย่างมาให้ติดตามในครั้งนี้ 


          1. การกระโดดสู่ความตายของนักท้ามฤตยู

          ด้วยเพราะ แซม แพทช์ นับเป็นหนึ่งในนักกระโดดท้ามฤตยูคนดังของสหรัฐฯ ที่เคยท้าความตาย โชว์กระโดดจากหน้าผาของน้ำตกไนแองการามาเป็นสิบ ๆ ครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าการโชว์กระโดดในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2372 จะกลายมาเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา โดยข้อมูลจากหนังสือ "Sam Patch, the Famous Jumper"  ระบุว่า ในวันศุกร์ 13 ดังกล่าว แซม แพทช์ ได้ทำการกระโดดในขณะที่เมา ทำให้เขาจบชีวิตลงต่อหน้าผู้ชมนับหมื่น ขณะที่รายงานจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ในปี 2426 ระบุว่า แซม แพทช์ ได้กระโดดลงมาผิดท่าและลงผิดจุดจากการกระโดดที่ผ่านมา

          อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าประหลาดยิ่งขึ้นเมื่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เรื่องเล่าอาถรรพ์ ศุกร์ 13 จะถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายเสียอีก 


          2. เพลิงมรณะในวันศุกร์ 13

         ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2482 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นทั่วรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย สังหาร 36 ชีวิตภายในวันเดียว โดยพบว่าเหตุเพลิงไหม้ที่น่ากลัวครั้งนั้นเกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่นำไม้แห้ง ๆ มาเผาทำลายพืชผักที่ไม่เติบโตในช่วงฤดูแล้งนั้น แต่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้จนเปลวไฟลุกลามไปทั่ว โดยพบว่าในเดือนมกราคมปีนั้น เปลวไฟได้สร้างความเสียหายในพื้นที่ 75% ของรัฐ อาคารกว่า 1,300 หลังถูกทำลายวอด มีผู้เสียชีวิตรวม 71 ราย 

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล


          3. ทิ้งระเบิดใส่พระราชวังบักกิงแฮม

          ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มนาซีได้เปิดศึกกับสหราชอาณาจักรอย่างเข้มข้น โดยพบว่าพระราชวังบักกิงแฮมในกรุงลอนดอน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง 16 ลูก อย่างไรก็ตามความเสียหายที่หนักที่สุดเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2483 เมื่อระเบิด 5 ลูกถูกทิ้งลงที่พระราชวัง เป็นผลให้มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย และเสียชีวิตอีก 1 ราย แต่นับว่าเป็นเคราะห์ดีที่พระเจ้าจอร์จที่ 5 และพระราชินีเอลิซาเบธทรงปลอดภัย ส่วนอาคารของพระราชวังโดยรวมก็นับว่าได้รับความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น


          4. อุทกภัยครั้งใหญ่ในแคนซัส

          นับเป็นเหตุอุทกภัยที่หนักหนาครั้งหนึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ รัฐแคนซัส สหรัฐฯ หลังเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2494 จนเกิดน้ำท่วมขังสูงกว่า 40 เซนติเมตรในหลายพื้นที่ กระทั่งล่วงเข้าสู่วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จนทำให้น้ำในแม่น้ำมีระดับความลึก ถึง 12.4 เมตร ขณะที่ชุมชนเมืองและย่านธุรกิจในเมืองโทพีก้า ลอว์เรนซ์ และแมนฮัตตัน ก็มีน้ำท่วมสะสมสูง 2.4 เมตร นับเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดโดยมีรายงานผู้เสียชีวิต 28 ราย และอีก 500,000 ชีวิตไร้ที่อาศัย วิศวกรของกองทัพสหรัฐฯ ประเมินค่าเสียหายจากเหตุครั้งนั้นราว 935 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท) ในเวลานั้น ซึ่งเทียบประมาณ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.2 แสนล้านบาท) ในขณะนี้ 


          5. วิกฤตการณ์สงครามเย็น

          ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็น โลกเกือบจะเปิดฉากสงครามกันอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2495 สหภาพโซเวียตได้ยิงเครื่องบินขนส่งทางทหาร DC-3 ของสวีเดนตก โดยทางสวีเดนระบุว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินฝึกทหาร ขณะที่ทางโซเวียตเองก็ออกมาประกาศว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเพียง 1 วัน เครื่องบินของสวีเดนก็ถูกโซเวียตยิงตกอีกระหว่างค้นหาซาก DC-3 

          แต่แล้วในที่สุดหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้เกือบ 40 ปี ทางการสวีเดนก็ได้ออกมายอมรับว่า DC-3 เป็นเครื่องบินสอดแนม ขณะที่ในปี 2534 ทางโซเวียตก็ยอมรับว่าเป็นผู้ยิง DC-3 ตก ขณะที่ซากของเครื่องบินที่หายไปเพิ่งจะถูกค้นพบที่ก้นทะเลบอลติก ในปี 2546 โดยพบศพลูกเรือ 4 ใน 8 ราย ทั้งนี้ปัจจุบันซากเครื่องบินดังกล่าวได้ถูกนำมาจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ กองทัพอากาศสวีเดน


          6. เหตุฆาตกรรมที่ถูกเพิกเฉย

         ศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2477 หนึ่งในคดีฆาตกรรมที่โหดร้ายและฉาวโฉ่มากที่สุดของนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ได้เกิดขึ้นเมื่อ คิตตี้ เจโนวิส ผู้จัดการบาร์แห่งหนึ่งได้ถูกชายแปลกหน้าจู่โจมเข้าแทงและข่มขืนขณะกลับมา ที่อพาร์ทเม้นท์ อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเศร้าเมื่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์มีรายงานว่า ในเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง มีเพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ไม่ต่ำกว่า 38 คน แต่ไม่มีใครที่ยื่นมือเข้าช่วยหรือแจ้งตำรวจเลยแม้แต่คนเดียว

          คดีของ คิตตี้ เจโนวิส ได้กลายมาเป็นตัวอย่างทางจิตวิทยาในเวลาต่อมา โดยใช้อ้างถึงเหตุการณ์ที่พยานซึ่งพบเห็นเหตุร้ายในสถานการณ์หนึ่ง ๆ เลือกจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกหรือทำอะไรทั้งสิ้น เนื่องจากคิดว่ามีคนอื่นยื่นความช่วยเหลือให้แล้ว จากการสอบสวนในเวลาต่อมา พบว่ามีพยานหลายคนที่เลือกจะปล่อยผ่านเพราะคิดว่าเจโนวิสเสียชีวิตไปแล้ว บางคนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บางคนก็เลือกจะเมินหน้าหนีจากสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่บางส่วนไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกันแน่  พวกเขาเหล่านี้จึงไม่ขอเอาตัวเองเข้าไปยุ่งด้วย จึงไม่ได้แจ้งตำรวจในทันที

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล


          7. พายุไซโคลนรุนแรง

          วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2513 คือวันที่บังกลาเทศถูกพายุไซโคลนโบลา ซึ่งมีความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศพัดถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 300,000 ราย พายุไซโคลนที่มีความแรงลม 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังก่อให้เกิดคลื่นสูง 5 เมตรในมหาสมุทร ซัดเข้าสู่พื้นดินจนผู้คนต้องปีนต้นไม้เพื่อหนีตาย อย่างไรก็ตามพบว่ากลุ่มผู้ที่มีอัตรารอดชีวิตสูงสุดก็คือผู้ชายวัย 15-49 ปี ขณะที่คนอื่นอย่างคนแก่ เด็ก ผู้ป่วย และผู้หญิงส่วนมาก ซึ่งไม่สามารถปีนต้นไม้ได้ต่างถูกน้ำพัดหรือกลืนหายไปกับพายุ 



          8. ผู้ประสบภัยที่ต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด

          ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2515 ทีมรักบี้จากประเทศอุรุกวัยได้ขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปแข่งขันที่ ประเทศชิลี ทว่าน่าเศร้าที่พวกเขากลับไปไม่ถึงจุดหมาย เมื่อเครื่องบินเกิดปัญหาระบบนำทางขัดข้องทำให้เครื่องตกลงบนภูเขาหิมะ ส่วนยอดของเทือกเขาแอนดีส พร้อมกับผู้โดยสาร 45 ชีวิต

          แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มของบททดสอบอันแสนสาหัสของ 27 ชีวิตที่เหลืออยู่เท่านั้น แม้พวกเขาจะรอดตายจากการตกของเครื่องบิน แต่ก็ต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บและอาหารที่ไม่เพียงพอ เมื่อถึงจุดหนึ่งผู้รอดชีวิตก็จำต้องกินร่างของเพื่อนที่จากไปเพื่อประทัง ชีวิต เท่านั้นยังไม่พอเมื่อมีหิมะถล่มซ้ำสังหารผู้รอดชีวิตไปอีก 8 ราย กระทั่งสิ้นเดือนตุลาคม คนอื่น ๆ ที่เหลือก็เริ่มถูกความเจ็บป่วยคุกคามชีวิต

          แทบไม่น่าเชื่อว่ากู้ภัยไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้กระทั่งสิ้น เดือนธันวาคม ผู้รอดชีวิต 16 คนสุดท้ายได้รับการช่วยเหลือในที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2515 หลังจากต้องผจญชีวิตในถิ่นทุรกันดารอันหนาวเหน็บนานถึง 72 วัน 


          9. อุบัติเหตุเครื่องบินสังหาร 174 ชีวิต

          แม้ตามสถิติแล้ว อัตราการเกิดปัญหาเครื่องบินตกในวันศุกร์ 13 จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในวันอื่น ๆ ทว่า ศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2515 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ทีมรักบี้จากอุรุกวัยประสบอุบัติเหตุ กลับเกิดเหตุเครื่องบินตกถึง 2 ครั้งในวันเดียวกัน โดยอีกเหตุหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินที่บรรทุกผู้โดยสาร 164 ราย และลูกเรืออีก 10 ราย จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดในสนามบินที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทั้งนี้น่าแปลกที่สาเหตุของเหตุดังกล่าวไม่สามารถระบุได้ แต่ความผิดปกติด้านวิศวกรรมอาจถือเป็นความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง


          10. เหตุตึกถล่มโรงแรมรอยัลพลาซ่า นครราชสีมา

         ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2536 หรือเมื่อ 22 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมที่ชาวจังหวัดนครราชสีมายากจะลืมเลือน เมื่ออาคารโรงแรมรอยัลพลาซ่า จังหวัดนครราชสีมา ได้ถล่มลงมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 137 คน บาดเจ็บ 227 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีข้าราชการครูถึง 47 ราย พนักงานบริษัทเชลล์ฯ 24 ราย พนักงานโรงแรม 33 ราย และผู้มาใช้บริการ 33 ราย

          ทั้งนี้จากการสืบสวนก็พบว่า สาเหตุของโศกนาฏกรรมดังกล่าวเป็นผลจากที่ทางโรงแรมได้ต่อเติมอาคารจาก 3 ชั้น เป็น 6 ชั้นอย่างผิดกฎหมาย ทำให้เสารับน้ำหนักตัวอาคารไม่ไหว อีกทั้งโครงสร้างเสายังไม่ได้เชื่อมยึดติดกัน เมื่อเสาที่ตั้งอยู่บนคานแบกรับน้ำหนักมากเกินไป จึงทำให้คานหลุดออกจากหัวเสาที่ชั้นสอง ทำให้โครงสร้างอาคารบนหัวเสายุบตามและส่งแรงดึงรั้งกระทบเสาต้นข้างเคียงให้ หักล้มตามมาในที่สุด




          11. การเสียชีวิตของ ทูพัค ชาเคอร์

         เรียกว่าเป็นหนึ่งในความสูญเสียของวงการเพลงฮิปฮอป เมื่อ ทูพัค ชาเคอร์ (Tupac Shakur) แร็พเปอร์ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลในลาสเวกัส สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2539 หลังจากถูกมือมืดรัวกระสุนใส่เมื่อวันที่ 7 กันยายน อย่างไรก็ตามการจากไปของเขากลายมาเป็นที่กังขาของคนทั่งโลก โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุในการลอบสังหารดังกล่าวหลายประการ อาทิ ข้อพิพาททางธุรกิจ ปัญหาส่วนตัว ความรุนแรงระหว่างแก๊ง แม้กระทั่งบางคนยังเชื่อว่าทูพัคอาจยังไม่ตาย แต่น่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง



          12. พายุหิมะในเมืองบัฟฟาโล

          แม้ว่าผู้อาศัยในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก สหรัฐฯ จะคุ้นชินกับการมีหิมะตกในช่วงฤดูหนาว แต่พวกเขาคงไม่มีใครคาดว่าจะเกิดเหตุพายุถล่มเมืองบัฟฟาโลและพื้นที่ทางตอน เหนือของรัฐนิวยอร์ก ตั้งแต่ช่วงบ่ายของพฤหัสบดีต่อเนื่องจนถึงวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2549 ทำให้มีกองหิมะสะสมหนาถึง 56 เซนติเมตร ทิ้งให้ชาวเมืองต้องทนอยู่กับสภาพไม่มีไฟฟ้าใช้นานร่วมสัปดาห์ 



          13. เรือสำราญ กอสตา กอนกอร์เดีย ล่ม

          ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2555 ช่วงเวลาอันแสนสงบสำหรับล่องเรือสำราญนอกชายฝั่งแคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ได้เปลี่ยนมาเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่ในทันที เมื่อเรือสำราญ กอสตา กอนกอร์เดีย ได้ประสบอุบัติเหตุเกยหินปะการังนอกชายฝั่งเกาะจิกลิโอ จนเรือเอียงจมทะเลไปข้างหนึ่ง คร่าชีวิตผู้โดยสารกับลูกเรือไปทั้งสิ้น 32 ราย ขณะที่กัปตันเรือได้ถูกจับกุมในเวลาต่อมา

**หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 13 พฤศจิกายน 2558

ข้อมูลจาก
- livescience.com
- express.co.uk

http://hilight.kapook.com/view/129051

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมียนมา คว้าแชมป์ชาติใจบุญที่สุดในโลก ส่วนไทยรั้งอันดับ 19



          เปิด 10 อันดับประเทศที่ใจบุญที่สุดในโลกประจำปี 2015 เมียนมา คว้าอันดับ 1 ไปครอง ส่วนประเทศไทยรั้งอยู่อันดับ 19

          เว็บไซต์เดอะการ์เดียน เผยผลการจัดอันดับประเทศที่ใจบุญที่สุดในโลก (World Giving Index) ประจำปี 2015 ของมูลนิธิช่วยเหลือการกุศลจากสหรัฐอเมริกา หรือ CAF (Charities Aid Foundation) พบว่า ในปีนี้เมียนมาคว้าแชมป์อันดับ 1 ประเทศที่ใจบุญที่สุดในโลกแซงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่ครองตำแหน่งมายาวนานหลายปี ส่วนประเทศไทยรั้งอยู่ที่อันดับที่ 19

          มูลนิธิ CAF ได้สรุปผลตามดัชนีการชี้วัดพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความใจบุญสุนทานของแต่ละ ประเทศ โดยในปีนี้เก็บสำรวจข้อมูลจากทั้งหมด 140 ประเทศ โดยพิจารณาจาก 3 เงื่อนไข ได้แก่ การบริจาคเงินเพื่อการกุศล การอาสาสมัครหรือการอุทิศตนช่วยเหลืองานกุศล และการช่วยเหลือบุคคลแปลกหน้าที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งผลที่ได้พบว่า 10 อันดับประเทศที่ใจบุญที่สุดในโลกประจำปี 2015 ได้แก่

          1. เมียนมา (Myanmar) คว้าอันดับ 1 ไปครองด้วยจำนวนประชากรพม่ามากถึงร้อยละ 92 ร่วมบริจาคเงิน และประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา แต่ชาวพม่าก็ยังร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือทุกวัน

          2. สหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจเจ้าของอันดับ 1 เมื่อปีที่แล้วและปีก่อน ในปีนี้ตกเป็นรองอยู่ในอันดับที่ 2 หลังจากยอดบริจาคเงินลดลงไปถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่สัดส่วนการช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับความเดือดร้อนสูงถึงร้อยละ 76 ของจำนวนประชากรในประเทศ

          3. นิวซีแลนด์ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในปีนี้ยอดการบริจาคเงินลดลงมากถึง 11 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

          4. แคนาดา แม้จะมียอดการบริจาคเงินไม่สูงมากนัก แต่ในปีนี้อัตราประชากรที่เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเพิ่มขึ้นมาถึง 44 เปอร์เซ็นต์

          5. ออสเตรเลีย อันดับไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ขึ้นจากอันดับที่ 6 มาอยู่ที่อันดับ 5 หลังจากยอดบริจาคเงินเพื่อการกุศลเพิ่มสูงขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ และการเป็นอาสาสมัครเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์

          6. สหราชอาณาจักร หลังจากเมื่อปีที่แล้วครองอันดับ 7 ร่วมกับประเทศมาเลเซีย ในปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 6 เนื่องจากมีอาสมัครเพิ่มขึ้นถึง 32 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่อยู่ที่ 29 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

          7. เนเธอร์แลนด์ หลุดจาก Top 10 ไปในปีที่แล้วไปอยู่ที่อันดับ 12 ล่าสุดปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 7 จากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนทั้ง 3 เงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนแปลกหน้า อาสาสมัคร และการบริจาคเงินเพื่อการกุศล

          8. ศรีลังกา เป็นประเทศซึ่งมีความพร้อมใจเป็นอาสาสมัคร สัดส่วนการช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ที่ร้อยละ 48

          9. ไอร์แลนด์ ตกมาไกลจากอันดับที่ 4 ในปีที่แล้ว หลังจากสถิติการช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่เดือดร้อนร่วงตกลง

          10. มาเลเซีย ร่วงมาจากอันดับที่ 7 หลังจากอัตราการเป็นอาสาสมัครลดน้อยลงจากปีที่แล้วมากจาก 41 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 37 เปอร์เซ็นต์

          ส่วน ประเทศไทยของเราที่เคยติด 1 ใน 10 ประเทศที่ใจบุญที่สุดในโลก โดยเคยอยู่ถึงอันดับ 9 เมื่อปี 2011 จากนั้นอันดับตกลงมามาก แต่ยังคงไต่ขึ้นเรื่อย ๆ จนล่าสุดในปี 2015 นี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 19


http://hilight.kapook.com/view/128985